พ่อของฉันจ้องมองแม่โดยไม่ละสายตาเป็นครั้งแรกที่งานเลี้ยงในลอนดอน ต่อมาพ่อก็แอบไปงานเลี้ยงโดยไม่ได้รับเชิญ จากนั้นในครั้งที่สามพ่อก็จัดงานเลี้ยงเพื่อจะได้พบแม่อีกครั้ง ในที่สุดพ่อก็ชวนแม่ออกไปขับรถเที่ยวนอกเมือง พ่อมารับแม่โดยขับรถยนต์โรเวอร์โบราณซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าของพ่อ
พ่อกับแม่กลายมาเป็นคู่รักกัน แต่ก็เกิดปัญหา แม่กำลังจะย้ายไปเป็นมิชชันนารีที่ประเทศเปรู พ่อจึงไปส่งแม่ที่สนามบิน จากนั้นอีกห้าเดือนต่อมาพ่อก็มาถึงประเทศเปรูด้วยตัวเองเพื่อขอแม่แต่งงาน และเรื่องราวตอนที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือ พ่อขายรถโรเวอร์อันเป็นที่รักเพื่อเป็นค่าตั๋วเครื่องบิน
ถ้าคุณถามมารีย์น้องสาวของมารธาและลาซารัสว่า สมบัติล้ำค่าที่สุดของเธอคืออะไร เธอคงจะเอาขวดอันล้ำค่าของ “น้ำมันหอม...ซึ่งมีราคาแพงมาก” ให้คุณดู (ยน.12:3) และถ้าคุณได้อยู่ในงานเลี้ยงที่เธอกับมารธาจัดให้พระเยซู (ข้อ 2) และเฝ้าดูเธอชโลมสิ่งที่อยู่ในขวดนั้นจำนวนมากที่พระบาทของพระองค์ คุณจะรู้ว่าพระคริสต์มีความหมายอย่างไรต่อเธอ พระองค์ทรงเป็นที่รักและทรงมีค่ามากถึงเพียงนั้น
สำหรับแม่ของผมแล้วการที่พ่อขายรถไม่ได้เป็นแค่เรื่องตั๋วเครื่องบินเท่านั้น แต่เป็นเครื่องหมายว่าเขาเห็นคุณค่าของเธอมากเพียงใด และการกระทำของมารีย์ก็มีความหมายลึกซึ้งเช่นกัน เธอกำลังเตรียมพระเยซูสำหรับวันฝังพระศพของพระองค์ (ข้อ 7) เมื่อเราเสียสละสิ่งที่เราให้คุณค่ามากที่สุดเพื่อพระเจ้าเหมือนกับมารีย์ เราก็มีส่วนร่วมในพระราชกิจแห่งการไถ่ของพระองค์โดยสะท้อนถึงการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของพระองค์เพื่อเรา
ในภาพยนตร์อมตะเรื่อง ซิติเซนเคน (Citizen Kane) ชาร์ลส์ ฟอสเตอร์ เคน สะสมความมั่งคั่งและอำนาจด้วยการสร้างธุรกิจหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ ในเรื่องราวที่ชวนให้นึกถึงปัญญาจารย์ 2:4-11 นั้น เคนหาความสุขใส่ตัวในทุกทาง และสร้างปราสาทที่มีสวนขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยงานศิลปะล้ำค่า
เช่นเดียวกับนักธรุกิจใหญ่คนอื่นๆ สิ่งที่เคนต้องการแท้จริงแล้วคือการยกย่องสรรเสริญ เขาลงเงินทุนกับอาชีพนักการเมืองของตัวเอง และเมื่อมันล้มเหลว เขารักษาหน้าของตนเองโดยโทษว่าความพ่ายแพ้นั้นเป็นเพราะ “การโกง” ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เขาสร้างโรงละครโอเปร่าให้ภรรยาและบังคับให้เธอทำอาชีพนักร้องที่เธอไม่ถนัดเพื่อให้เขาดูดี ในตอนนี้เรื่องราวของเคนสะท้อนถึงปัญญาจารย์อีกเช่นกันว่า สมบัติจะทำร้ายผู้ที่ไล่ตามและเก็บสะสมไว้ 5:10-15 ทำให้พวกเขาต้องกิน “ในความมืดมน เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย” (5:17 TNCV) ตอนสิ้นใจ ชาร์ลี เคนอาศัยอยู่ในปราสาทนั้นเพียงลำพัง โดดเดี่ยว และโกรธแค้น
ซิติเซนเคน จบลงด้วยการเปิดเผยว่าการแสวงหาของชาร์ลีเกิดจากความปรารถนาที่จะเติมเต็มความว่างเปล่าในใจของเขา คือความรักของพ่อแม่ที่เขาสูญเสียไปเมื่อตอนเป็นเด็ก ผู้เขียนปัญญาจารย์คงจะเห็นด้วยในเรื่องนี้ พระเจ้าพระบิดาของเราได้ “ทรงบรรจุนิรันดร์กาลไว้ในจิตใจของมนุษย์” (3:11) และชีวิตจะมีความชื่นบานได้ก็ต่อเมื่ออยู่กับพระองค์เท่านั้น (2:25) เรื่องสอนใจของชาร์ลี เคน บอกกับเราทุกคนว่า อย่าแสวงหาการเติมเต็มฝ่ายวิญญาณผ่านทางความมั่งคั่งและอำนาจ แต่ผ่านพระองค์ผู้ทรงเทความรักเข้ามาในจิตใจของเรา(รม.5:5)
ริชาร์ด กริฟฟินเป็นราชองครักษ์ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เป็นเวลาสิบสี่ปี วันหนึ่งขณะตามเสด็จพระองค์ไปปิกนิกที่เนินเขาใกล้พระตำหนักบัลมอรัล พวกเขาได้พบกับนักปีนเขาชาวอเมริกันสองคน “คุณเคยพบพระราชินีบ้างไหม” พวกเขาถามโดยไม่รู้จักพระองค์ที่ทรงแต่งกายเรียบๆ “ไม่เคยพบนะ” พระราชินีตรัสตอบอย่างล้อเล่น “แต่ริชาร์ดคนนี้พบพระองค์เป็นประจำ!” ด้วยความตื่นเต้นที่ได้พบคนใกล้ชิดกับราชวงศ์ นักปีนเขาจึงยื่นกล้องให้พระราชินี แล้วโพสต์ท่ากับริชาร์ดและขอให้พระองค์ถ่ายรูปให้!
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนอยู่ต่อหน้าบุคคลสำคัญโดยไม่รู้ตัว “พระเจ้าทรงสถิต ณ ที่นี้แน่ทีเดียว แต่ข้าหารู้ไม่” ยาโคบกล่าวหลังจากพบพระเจ้าในความฝันที่เบธเอล (ปฐก.28:16) เมื่อฟีลิปขอให้พระเยซูสำแดงพระบิดาแก่เหล่าสาวก พระเยซูตรัสตอบว่า “ฟีลิปเอ๋ย เราได้อยู่กับท่านนานถึงเพียงนี้ และท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ” (ยน.14:9) เช่นเดียวกันกับนักปีนเขา เหล่าสาวกต่างก็พร้อมที่จะยื่นกล้องให้พระเยซู โดยไม่รู้ว่า พระองค์ คือผู้นั้นที่จะต้องให้ความสนใจ (ข้อ 10-11)
เช่นเดียวกับสมเด็จพระราชินีในวันนั้น พระเยซูก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักทุกครั้งว่าทรงเป็นใครจริงๆ และนอกเหนือจากการเป็น “ครูที่มีสติปัญญา” หรือ “ผู้นำทางศีลธรรมที่ยิ่งใหญ่”แล้ว พระองค์ยังทรงเป็นพระเจ้าที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงเป็นกษัตริย์เหนือโลกนี้ (1:14; 18:36) ช่างเป็นการเปิดเผยสำแดงที่ยิ่งใหญ่เมื่อเราค้นพบความจริงนี้!
อริสโตเติลกล่าวว่าไม่มีใครสามารถเป็นเพื่อนกับเทพเจ้าได้ เพราะเหตุใดน่ะหรือ เขาบอกว่าเพราะมิตรภาพต้องมีความเท่าเทียมกัน แล้วเทพเจ้าองค์ใดจะยอมสละสถานะในสวรรค์ลงมาเทียบเท่ากับมนุษย์ผู้ต่ำต้อย
ผมสงสัยว่าอริสโตเติลจะทำอย่างไรหากเขาอยู่ที่โต๊ะอาหารมื้อสุดท้าย (มธ.26:26-35) เพราะที่นั่น พระเยซูพระผู้สร้างสรรพสิ่ง ผู้ทรงละทิ้งสถานะในสวรรค์มาเป็นมนุษย์ผู้ต่ำต้อย (ฟป.2:6-8; คส.1:16) ทรงบอกกับสาวกของพระองค์ว่า พระองค์ไม่เรียกพวกเขาว่าบ่าวอีกต่อไป แต่จะทรงเรียกพวกเขาว่ามิตรสหาย(ยน.15:15)
อริสโตเติลคงแปลกใจด้วยที่เห็นว่าใครนั่งร่วมโต๊ะนั้นบ้าง มีมัทธิวคนเก็บภาษีที่สนิทสนมกับชาวโรมัน และซีโมนพรรคชาตินิยมผู้ประณามชาวโรมัน (มธ.10:3-4) อีกทั้งยากอบและยอห์น “ลูกฟ้าร้อง” (มก.3:17) ที่นั่งอยู่กับฟีลิปผู้เงียบขรึม ผมนึกภาพว่าอริสโตเติลคงมองด้วยความฉงนขณะที่พระเยซูอธิบายว่าขนมปังและเหล้าองุ่นเป็น “กาย” และ “โลหิต” ของพระองค์ที่หักและเทออกเพื่อ “ยกบาปโทษ” (มธ.26:26-28) เทพเจ้าองค์ใดกันที่จะยอมตายเพื่อมนุษย์ธรรมดาๆ แม้กระทั่งมนุษย์ที่กำลังจะละทิ้งพระองค์หลังจากนั้นอีกไม่นาน (ข้อ 56)
นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ศีลมหาสนิทเป็นสิ่งที่ล้ำลึกอย่างยิ่ง พระเจ้าทรงเป็นเพื่อนกับมนุษย์โดยทางพระเยซู และทรงทำให้เกิดมิตรภาพระหว่างผู้มีความคิดเห็นทางการเมืองและจิตใจที่แตกต่างกัน ขณะที่เรากินและดื่มที่โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราก็ได้เฉลิมฉลองพระองค์ผู้ทรงแก้ไขกฎแห่งมิตรภาพขึ้นใหม่ระหว่างมนุษย์และพระเจ้า
“ใครคือคนที่คุณโทรหาได้ตอนเที่ยงคืนเมื่อทุกอย่างผิดพลาดไปหมด” คำถามนี้สะกิดใจผมตั้งแต่ที่ได้ยินครั้งแรกเมื่อหลายปีมาแล้ว มิตรภาพระหว่างผมกับเพื่อนมีจำนวนเท่าใดที่มั่นคงพอที่ผมจะรบกวนพวกเขาได้ในเวลาที่ต้องการ ผมไม่แน่ใจนัก
พระคัมภีร์พูดถึงมิตรภาพอยู่บ่อยครั้ง โดยอธิบายถึงเพื่อนว่าเป็นคนเก็บความลับ (สภษ.11:13; 16:28) ให้คำแนะนำ (27:9) และเคารพขอบเขตของกันและกัน (25:17) แต่บางทีอาจไม่มีใครนิยามมิตรภาพได้ทรงพลังไปกว่าพระเยซู ในขณะที่เราเป็นลูกค้าสำหรับผู้โฆษณา เป็นพนักงานสำหรับนายจ้าง แต่สำหรับพระเยซูผู้ทรงเป็นองค์เจ้านายเหนือทุกสิ่งนั้น เราเป็น “เพื่อน” (ยน.15:15) พระเยซูอธิบายว่ามิตรภาพของพระองค์นั้นสร้างขึ้นบนความรักของพระเจ้าและการเสียสละส่วนตน (ข้อ13,15) ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์ทำเป็นแบบอย่างและเรียกให้เราส่งต่อ (ข้อ12)
สองสามปีหลังจากได้ยินคำถามนั้น ผมและภรรยาต้องทนทุกข์กับการสูญเสียครั้งใหญ่ ดาร์เรนซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นได้เดินทางเป็นเวลาสองชั่วโมงเพื่อมาพบผม รับฟังความโกรธและความเจ็บปวด และอธิษฐานเผื่อผม ดาร์เรนเป็นผู้ชายที่งานยุ่งมีหลายอย่างให้ทำในแต่ละวัน แต่เขาทำตามแบบอย่างพระเยซูในด้านมิตรภาพที่เสียสละ ผมมี ใครบางคนในเวลาที่ต้องการจริงๆ
คำถามในตอนนี้คือ แล้วคนอื่นมีผมเป็น “เพื่อนยามเที่ยงคืน” หรือไม่ เพราะไม่มีวิธีใดในการหาเพื่อนได้ดีไปกว่าการเป็นเพื่อนที่ดี
วิหารซานฟรุตตูโอโซตั้งอยู่ในอ่าวเล็กๆนอกชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี การเข้าถึงทำได้โดยเรือหรือการเดินเท้าเท่านั้น ส่งผลให้สถานที่นี้เป็นอัญมณีอันเงียบสงบ แต่ยังมีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่ในอ่าวด้วย เมื่อนักดำน้ำดำดิ่งลงไปในทะเลที่ความลึกสิบห้าเมตร ก็จะเริ่มเห็นรูปปั้นของชายคนหนึ่ง นี่คือพระคริสต์แห่งทะเลลึก เป็นรูปปั้นใต้น้ำชิ้นแรกของโลก สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1954 รูปปั้นสำริดนี้เป็นรูปของพระเยซูในทะเลลึก พระหัตถ์ของพระองค์ยกขึ้นสู่สวรรค์
ในน้ำลึก บางทีคุณอาจเคยสัมผัสกับมันมาแล้ว สดุดี 69 บันทึกไว้ว่า “ข้าพระองค์จมดิ่งลงในตมลึก...ข้าพระองค์วิงวอนร่ำร้องขอความช่วยเหลือจนอ่อนล้า” (ข้อ 2-3 TNCV) เมื่อถูกศัตรูเยาะเย้ยและเหินห่างจากครอบครัว (ข้อ 4, 7-12) ผู้เขียนสดุดีไม่พบการปลอบโยนจากผู้ใด (ข้อ 20) และกลัวว่าความทุกข์ทรมานจะ “กลืน” ท่านเสีย (ข้อ 15) น้ำที่ลึกคือช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังอันมืดมนของชีวิต ไม่ว่าจะเกิดจากบาปหรือความเศร้าโศกก็ตาม
ขอบคุณพระเจ้าที่ยังมีบางอย่างในน้ำที่ลึกนั้นด้วย เพราะแม้ในน้ำลึกนี้จะเหน็บหนาวและโดดเดี่ยวก็ยังมีผู้หนึ่งสถิตอยู่ที่นั่น (139:8) และพระองค์จะทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากน้ำที่เย็นยะเยือก “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์จะยอพระเกียรติพระองค์ เพราะพระองค์ทรงดึงข้าพระองค์ขึ้นมา” (30:1)
ประติมากรรมนั้นเตือนเราว่า เมื่อเราจมลงภายใต้ภาระหนักของโลก เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว พระวิญญาณของพระเยซูทรงอยู่ในน้ำที่ลึกนั้น พระหัตถ์ของพระองค์ยกขึ้นสูง พร้อมที่จะฉวยเราและยกเราขึ้นเมื่อถึงเวลา
เรื่องสั้นเรื่องหนึ่งของเออร์เนส เฮมมิ่งเวย์ เล่าถึงพ่อชาวสเปนที่ต้องการคืนดีกับลูกชายที่เคยหมางเมินกันมานาน เขาได้ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นว่า “ปาโก้ มาพบพ่อที่โรงแรมมอนทาน่าวันอังคารตอนเที่ยง ยกโทษให้ทั้งหมดแล้ว” เมื่อผู้เป็นพ่อมาถึงก็พบกับฝูงชนหมู่ใหญ่รออยู่ มีปาโก้แปดร้อยคนมาตามคำโฆษณา ปรารถนาจะได้รับการยกโทษจากพ่อของพวกเขา
นี่เป็นเรื่องราวอันน่าประทับใจที่พูดถึงความปรารถนาในส่วนลึกของเราที่ต้องการการยกโทษ และเตือนผมให้คิดถึงเรื่องที่พระเยซูทรงเล่าถึงชายหนุ่มคนหนึ่งที่ทิ้งพ่อของตนเพื่อไปใช้ชีวิต “โลดโผน” แต่ไม่นานก็พบตัวเองตกอยู่ในปัญหา (ลก.15:13-14) เมื่อเขา “รู้สำนึกตัว” และกลับบ้าน (ข้อ 17) พ่อผู้ห่างเหินกันไปนานได้รีบเข้าไปสวมกอดเขาก่อนที่เขาจะมีโอกาสขอโทษ (ข้อ 20) “ลูกของเราคนนี้ตายแล้ว แต่กลับเป็นอีก” พ่อร้องด้วยความยินดี “หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก” (ข้อ 24) ในเรื่องนี้พ่อเป็นตัวแทนของพระเจ้า ลูกชายเป็นตัวแทนของพวกเรา และเราจะได้เห็นภาพความยินดีบนสวรรค์เมื่อเราได้กลับมาหาพระบิดาของเรา
การให้อภัยจะขจัดความรู้สึกผิดที่ถ่วงจิตวิญญาณออกไป แต่การให้อภัยนี้เป็นเหมือนกับของขวัญที่เราจะต้องยอมรับมันเอาไว้ เฮมมิ่งเวย์ไม่ได้บอกเราว่าผู้เป็นพ่อในเรื่องนั้นได้พบกับปาโก้ของเขาหรือไม่ แล้วในเรื่องราวของพระเยซูนั้นพระบิดาจะได้บุตรชายหญิงกลับมาคืนดีกับพระองค์ไหม อ้อมพระหัตถ์ของพระองค์ทรงเปิดกว้าง รอคอยให้พวกเรากลับมาหาพระองค์
เดอกาส์เป็นจิตรกรที่ต้องทนทุกข์จากโรคทางตาในช่วงห้าสิบปีหลังของชีวิต เขาเปลี่ยนจากการวาดรูปด้วยสีน้ำมันไปใช้สีชอล์กเพราะลายเส้นมองเห็นได้ง่ายกว่า ส่วนเรอนัวร์ต้องวางพู่กันไว้ระหว่างนิ้วมือเมื่อภาวะไขข้ออักเสบทำให้นิ้วงอเหมือนอุ้งเล็บสัตว์ และเมื่อการผ่าตัดทำให้มาทิิสเป็นอัมพาต เขาเปลี่ยนไปทำภาพคอลลาจที่ใช้เทคนิคการตัดแปะ โดยควบคุมให้ผู้ช่วยติดชิ้นส่วนกระดาษสีลงบนแผ่นกระดาษขนาดใหญ่บนกำแพง สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาภายหลังแต่ละเหตุการณ์คือชิ้นงานอันสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็น ภาพนักเต้นบัลเลต์ในชุดสีฟ้าของเดอกาส์ ภาพเด็กผู้หญิงที่เปียโนของเรอนัวร์ ภาพความโศกเศร้าของกษัตริย์ โดยมาทิส และผลงานชิ้นเอกอื่นๆ เมื่อพวกเขาปรับตัวต่อการทดลองที่ผ่านเข้ามา ความงดงามก็บังเกิดขึ้นจากความเจ็บป่วยนั้น
ในทำนองเดียวกัน เปาโลไม่ได้วางแผนจะไปเมืองกาลาเทียเมื่อท่านเริ่มออกเดินทางไปประกาศ ความเจ็บป่วยบังคับให้ท่านไปที่นั่น (กท.4:13) เห็นได้ชัดว่าเปาโลต้องการไปอีกที่หนึ่งแต่จบลงที่กาลาเทีย และแม้ท่านจะป่วยแต่ท่านก็เริ่มเทศนา และพระวิญญาณบริสุทธิ์กลับทำการอัศจรรย์ผ่านท่าน (3:2-5) คริสตจักรกาลาเทียจึงถือกำเนิดขึ้น ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงนี้อาจไม่เกิดขึ้นหากไม่มีความเจ็บป่วยของเปาโล
คุณเคยเผชิญกับการทดลองใดและการทดลองนั้นเปลี่ยนทิศทางชีวิตของคุณอย่างไร โดยการพิจารณาดูของประทานที่คุณมี คุณเองก็อาจได้เห็นว่าพระเจ้าทรงทำให้เกิดความงดงามจากความอ่อนแอของคุณเช่นกัน
บ้านของเราต้องได้รับการปรับปรุงใหม่เพราะห้องครัวเริ่มพังและพื้นก็ทรุด หลังจากมีการรื้อถอนบางส่วนออกไป ช่างก็เริ่มขุดฐานรากใหม่ ตอนนี้เองที่มีบางอย่างน่าสนใจ
ขณะที่ช่างก่อสร้างขุดลงไป สิ่งที่พลั่วตักขึ้นมามีทั้งจานแตกๆ ขวดน้ำอัดลมยุคปี 1850 หรือแม้แต่ช้อนส้อม บ้านของเราสร้างบนกองขยะเก่าหรือเปล่านะ ใครจะรู้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือวิศวกรของเราบอกว่าฐานรากของบ้านเราจะต้องขุดให้ลึกลงอีก ไม่เช่นนั้นผนังบ้านจะมีรอยแตก
รากฐานที่ดีจะทำให้บ้านแข็งแรง ชีวิตของเราก็เช่นกัน เมื่อศัตรูทำให้คนอิสราเอลหวาดกลัว อิสยาห์อธิษฐานให้พวกเขาเข้มแข็ง (อสย.33:2-4) แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ได้มาจากความกล้าหาญหรืออาวุธ แต่มาจากการก่อร่างสร้างชีวิตขึ้นในพระเจ้า ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์กล่าวว่า “พระองค์จะทรงเป็นเสถียรภาพแห่งเวลาของเจ้า ทรงเป็นความรอด สติปัญญา และความรู้อันอุดม” (ข้อ 6) พระเยซูตรัสสิ่งที่คล้ายกัน โดยทรงสอนว่าผู้ที่สร้างชีวิตบนพระปัญญาของพระเจ้าจะสามารถต้านทานพายุแห่งชีวิตได้ (มธ.7:24-25)
สัญญาณชัดเจนที่บ่งชี้ว่ารากฐานของเราต้องการความเอาใจใส่คือ เมื่อรอยร้าว เช่น ความก้าวร้าว การเสพติด หรือปัญหาชีวิตแต่งงานปรากฏขึ้นในชีวิตของเรา เมื่อเราแสวงหาความปลอดภัยแต่ไม่พบ หรือปฏิบัติตามปัญญาของยุคนี้เพียงอย่างเดียว เราจะอยู่บนพื้นที่ไม่มั่นคง แต่ผู้ที่สร้างชีวิตของตนในพระเจ้าจะได้รับพระกำลังและทรัพย์สมบัติทั้งสิ้นของพระองค์ (อสย.33:6)